ททท.ร่วมกับนิตยสารกุลสตรีเปิดเส้นทางท่องเที่ยวนำร่องสำหรับผู้หญิงในโครงการ Lady’s Journey เส้นทางสตูล -ตรัง 3วัน 2 คืน โดยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวใน 2 จังหวัดได้อย่างน่าสนใจและชวนเที่ยว เริ่มที่จังหวัดสตูล

จังหวัดสตูลเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทยทางชายฝั่งทะเลอันดามัน หากพูดถึงจังหวัดสตูล หลายๆคนคงจะนึกถึงเพียงแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลชื่อดังอย่าง “หลีเปะ” แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่านอกจากทะเลสวยๆ แล้ว ที่สตูลยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายหลากหลาย ให้ไปค้นหาอีกเพียบ
รู้หรือไม่? สตูลเป็นแผ่นดินที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่ไม่ได้มีดีแค่ทะเล อย่างที่เรารู้ๆกัน ที่ตำบลทุ่งหว้า มีการขุดพบฟอสซิลช้างดึกดำบรรพ์ สกุลสเตโกดอน ที่อายุ 1.8 ล้านปี และฟอสซิลสัตว์ทะเลดึกดำบรรพ์ ที่อายุ 550 – 250 ล้านปีก่อน หลักฐานสำคัญนี้เป็นที่มาให้ อุทยานธรณีสตูลได้รับการรับรอง UNESCO เป็นให้ “อุทยานธรณีโลกสตูล” (Satun UNESCO Global Geopark) เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา

 


อุทยานธรณีโลกสตูล กินพื้นที่กว้างครอบคลุม 4 อำเภอ คือ ทุ่งหว้า มะนัง ละงู และอำเภอเมือง มีครบทั้ง ฟอสซิล ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตวัฒนธรรมผู้คนซึ่งเชื่อมโยงกับพื้นที่ ‘อุทยานธรณีโลก’ ของยูเนสโกมีแนวคิด คือ ต้องการให้เกิดการอนุรักษ์พื้นที่ซึ่งมีคุณค่าทั้งในด้านธรณีวิทยา โบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน หัวใจสำคัญคือการให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการ จึงจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นคนนำเที่ยวจะเป็นคนในชุนนั่นเอง กระบวนการกว่าจะเป็นอุทยานธรณีโลกไม่ใช่เรื่องง่าย จากคำบอกเล่าของ นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ ผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูล/นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า บุคคลผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันมรดกล้ำค่าทางธรรมชาติให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรณี อุทยานธรณีโลก (UNESCO Global Geopark) แห่งแรกของประเทศไทย พื้นที่แห่งการอนุรักษ์ องค์ความรู้ และการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นแบบยั่งยืน กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการต้องใช้เวลาดำเนินการอย่างต่อเนื่องเกือบ 9 ปี

ดังนั้นเราจึงอยากพาไปเปิดประสบการณ์ สำหรับผู้หญิง 10 สถานที่ ห้ามพลาด สิ่งนี้ที่อยากให้มากัน สาเหตุที่เน้นความเป็นผู้หญิงเพราะเส้นทางนี้จะมีความครบรสเหมาะกับ Life Style แบบฉบับผู้หญิงๆ ไม่ว่า “เที่ยว”แหล่งธรรมชาติ (ลุยพอประมาณแบบผู้หญิงสาย Strong!) “ชิม” อาหารและร่วมทำขนมถิ่นที่ขึ้นชื่อของจังหวัด แชะและ“ช็อป” ของฝาก งานดี มีเอกลักษณ์ อย่างผ้าบาติกลายฟอสซิล นักท่องเที่ยวยังสามารถประดิษฐ์ประดอยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วยตนเองได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีมุมเด็ดๆ ให้ “แชะ” ถ่ายรูปสวยๆ อีกมากมาย ส่วนรายละเอียดจะมีอะไรบ้างนั้นลองมาดูกัน…

 

1.ถ้ำเล สเตโกดอน: ล่องเรือชมฟอสซิล ลอดถ้ำเลยาวที่สุดในคาบสมุทรไทย-มาเลฯ
ตั้งอยู่ที่ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เพิ่งเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในช่วงปี พ.ศ. 2555 เป็นถ้ำเล ที่มีความยาวที่สุดในคาบสมุทรไทย-มาเลฯ เพราะมีความยาว 3.5 กิโลเมตร ชื่อถ้ำอาจจะฟังดูแปลกๆ ไม่คุ้นหู จริง ๆ แล้วถ้ำนี้เดิมชื่อว่า “ถ้ำวังกล้วย” แต่เหตุผลที่เปลี่ยนเป็น “ถ้ำเล สเตโกดอน” ก็เพราะว่าคำว่า ถ้ำเล เพราะเป็นถ้ำที่อยู่ติดทะเล และมีน้ำทะเลขึ้นถึงตามการขึ้นลงของน้ำทะเล ส่วนคำว่า สเตโกดอน เพราะมีการขุดพบฟอสซิลฟันกรามของช้างดึกดำบรรพ์ ที่มีชื่อสายพันธุ์ว่า “สเตโกดอน” อายุประมาณ 1.8 ล้านปีอายุ สอดคล้องกับงานวิจัยของกรมทรัพยากรธรณี ที่มีข้อมูลสำคัญเก็บไว้ว่าแผ่นดินสตูลนั้นเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เดิมเป็นทะเลดึกดำบรรพ์ที่ย้อนอายุไปได้ถึง ในมหายุคพาลีโอโซอิค ที่มีฟอสซิลครบทั้ง 6 ยุค ตั้งแต่ยุค แคมเบรียน – เพอร์เมียน หรือ 550 ล้านปี ก่อน พูดง่ายๆ ว่าเก่ายิ่งกว่ายุคไดโนเสาร์ นักท่องเที่ยวจะต้องนั่งเรือแคนู แต่ละลำจะมีฝีพายคอยทำหน้าที่เป็นไกด์คอยให้ข้อมูลกับเราในทุกรายละเอียด ที่นี่จะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักตั้งแต่ก่อนเข้าถ้ำระดับน้ำขึ้น – ลง จะต้องพอดี นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องสวมเสื้อชูชีพ หมวกกันกระแทก และไฟฉายคาดหัว โดยเจ้าหน้าที่จะจัดเตรียมอุปกรณ์เหล่านี้ไว้ให้ ภายในถ้ำมีความกว้างขวาง มีอากาศถ่ายเท ลมพัดเย็นสบาย
สาวๆ อย่างเรา ระหว่างที่นั่งเรือแคนูเข้าไปในถ้ำอย่าคิดว่าไม่มีอะไรนอกจากการนั่งชมถ้ำไปแบบสวย ๆ บอกเลยว่าที่นี่มีให้คุณมากกว่านั้น คุณจะได้ความตื่นเต้นเร้าใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพน้ำขึ้นน้ำลงภายในถ้ำ หากช่วงไหนน้ำน้อยก็ต้องพายเรือช้าหน่อย และอาจต้องยกเรือข้ามโขดหิน หรือบางช่วงจังหวะก็มีน้ำไหลลงจากผนังถ้ำคล้ายน้ำตก พกถุงกันน้ำไปเผื่อด้วยจะปลอดภัยที่สุด
นอกจากสิ่งสวยงามที่พ่วงการผจญภัยเล็ก ๆ ภายในถ้ำตลอดระยะทางยาวกว่า 3.5 กิโลเมตร แล้วนั้น ก็มาถึงตรงบริเวณปากทางออก ที่หลายคนต่างพากันสังเกตว่ามีลักษณะคล้ายกับรูปหัวใจ จนเป็นที่มาของคำว่า “ตามหาหัวใจที่ปลายอุโมงค์” และเมื่อพ้นจากปากถ้ำ คุณจะเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของป่าชายเลนที่สมบูรณ์แห่งหนึ่งของเมืองไทย ก่อนที่เรือจะพาเราขึ้นท่าเป็นที่เรียบร้อย
ขอยกให้เป็น Hilight ประจำทริป ไม่ใช่เพราะการเข้าถ้ำกำลังอินเทรนด์ในช่วงนี้ ^^ แต่ความรู้สึกมันเหนือความคาดหมายและได้ทุกอารมณ์ ทั้งสนุก ตื่นเต้น ตะลึงไปกับประติมากรรมที่ธรรมชาติสร้างสรรค์พบประกายระยิบระยับจากแร่แคลไซด์ ที่เคลือบอยู่ตามก้อนหินรูปทรงชวนแปลกตาภายในถ้ำ กระตุ้นต่อมจินตนาการให้กับผู้ที่ได้พบเห็น พบกับความสวยงามที่คาดไม่ถึง นอกจากยังมีฟอสซิลของ ซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่มีอายุโดยเฉลี่ยถึง 550 ล้านปีที่ยังหลงเหลืออยู่ในถ้ำอีกด้วย เรียกว่าครบรส เพราะที่นี่เป็นที่แห่งเดียวในประเทศไทยก็ว่าได้ ที่รวมระหว่าง ลอดถ้ำ พายแคนู ดูน้ำตก ไปพร้อมๆ กัน เหมาะสำหรับสาวๆ ที่รักการท่องเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์และรักธรรมชาติอย่างยิ่ง งานนี้ “ไม่ติดถ้ำ แต่ติดใจ ไว้ไปอีกแน่ๆ”

 


2. รับชมภาพยนตร์ 3 มิติ ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชพิพิธภัณฑ์ช้างทุ่งหว้า
หลังจากลอด ถ้ำเล สเตโกดอน ห่างไปไม่ไกลมากนักจากท่าเรือ สามารถนั่งรถไปเยี่ยมชมศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชพิพิธภัณฑ์ช้างทุ่งหว้าได้ ซึ่งฟอสซิลต่างๆที่พบในถ้ำเล สเตโกดอน มักจะถูกเก็บไว้จัดแสดงที่นี่ เป็นอาคารชั้นเดียว อยู่ติดกับที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้า เปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ในเวลาราชการ เว้นวันหยุดราชการ โดยไม่เก็บค่าเข้าชม มีสถิติผู้เข้าเยี่ยมชมประมาณ 75,000 คนต่อปี โดยภายในห้องนิทรรศการมีภาพประกอบที่สวยงาม เข้าใจง่าย นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับช้างไทยที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณ มีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, นิทรรศการช้างเผือกคู่พระบารมี ร.9 และนิทรรศการความสำคัญของช้างในวัฒนธรรมไทย เรื่องราวและประวัติของอำเภอทุ่งหว้า รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างชาวมุสลิมและชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสตูลนั่นเอง จุดเด่นที่เด็กๆ ชอบ น่าจะเป็นห้องให้รับชมภาพยนตร์ 3 มิติ ทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของแผ่นดินที่เก่าแก่ของสตูลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าใครได้เข้าไปเยี่ยมชมก่อนเข้าถ้ำรับรองว่าจะอินมากยิ่งขึ้นไปอีก

3. ชมพระอาทิตย์ตกที่สะพานเขตข้ามกาลเวลา อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา
มาชมความมหัศจรรย์ของเขาโต๊ะหงาย ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา เดินเลียบผาบนสะพานเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่สวยงาม บริเวณเขาโต๊ะหงาย มีปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นแนวลอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่ซ้อนกัน ซึ่งเป็นตัวแบ่งหินที่มีอายุแตกต่างกัน 2 ยุค คือ หินทรายสีแดงแห่งยุคแคมเบรียน (542 – 488 ล้านปี) และ หินปูนสีเทาแห่งยุคออร์โดวิเชียน (488 – 444 ล้านปี) จึงเปรียบเสมือนเรากำลังเดินก้าวข้ามกาลเวลาจาก (หิน) ยุคหนึ่งไปอีกยุคหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก เหมาะสำหรับถ่ายภาพท้องฟ้ายามโพล้เพล้ตัดกับท้องทะเลที่สวยงาม ซึ่งแว่วมาว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับนิตยสารกุลสตรี จะมีโปรเจคเชิญชวนผู้หญิงจากทั่วโลกมา วิ่งข้ามข้ามกาลเวลา อีกด้วย โปรดติดตามเร็วๆนี้…

 

4. ชิมน้ำ 7 บ่อ ณ บ่อเจ็ดลูก
บ่อเจ็ดลูก อ.ละงู จ.สตูล คำว่า บ่อเจ็ดลูก หรือที่ภาษามาลายูเรียกว่า “ลากาตูโยะ” มีตำนานเล่าสืบเนื่องกันมาว่า บุคคลกลุ่มแรกที่เข้าไปอาศัยอยู่เป็นพวกชาวเลหรือชาวน้ำที่อพยพมาจากเกาะซึ่งอยู่ห่างไกลจากฝั่งออกไป ขณะที่อพยพมาอยู่นั้น พวกเขาได้ขุดบ่อน้ำเพื่อใช้เป็นน้ำดื่มน้ำใช้ แต่ปรากฏว่าไม่มีน้ำออกมาเลย พวกเขาพยายามขุดบ่อแล้วบ่อเล่าก็ไม่มีน้ำใช้ จนกระทั่งถึงบ่อที่เจ็ดจึงมีน้ำออกมา ปัจจุบันบ่อทั้งเจ็ดลูกยังมีปรากฏให้เห็น จนทุกวันนี้ หมู่บ้านนี้จึงได้ชื่อว่า “บ้านบ่อเจ็ดลูก”บ่อน้ำทั้งเจ็ดลูก ถูกก่ออิฐประสานคอนกรีตบุผังบ่อไว้และมีลานซีเมนต์โดยรอบของบ่อ บ่อน้ำมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 0.53 – 1.52 เมตร มีความลึกจากขอบปากบ่อประมาณ 1.5 – 2.16 เมตร มีน้ำแช่ขังตลอดปี ตอนนี้บ่อทั้ง 7 ยังมีสภาพสมบูรณ์และมีการอนุรักษ์เป็นโบราณสถานไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย ที่น่าแปลกใจคือ ชาวบ้านเล่าว่าบ่อที่เจ็ด ซึ่งตั้งอยู่ใกล้น้ำทะเลมากที่สุด น้ำกลับมีรสชาติจืดที่สุด ต่างจากบ่อแรกที่ตั้งอยู่ไกลน้ำทะเลมากที่สุด แต่กลับมีรสชาติเค็มที่สุด อยากท้าให้นักท่องเที่ยวลองมาชิมดูได้ แต่ละบ่อมีรสชาติอร่อยและสดชื่นแตกต่างกันไป ส่วนทีมงานเราชอบบ่อที่ห้ากันมากที่สุด สังเกตดูภายในบ่อมีรากไม้อยู่ด้วย ทำให้น้ำมีกลิ่นหอม รสชาติคล้ายๆ น้ำชา

 

5. อลังการ ปราสาทหินพันยอด เกาะเขาใหญ่
เกาะเขาใหญ่ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา อ.ละงู จ.สตูล ห่างจากชายฝั่งบริเวณที่ทำการอุทยานประมาณ 10 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากท่าเรือปากบารา เพียงแค่ประมาณ 3-5 กิโลเมตรเท่านั้น ปัจจุบันเกาะเขาใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานธรณีโลกสตูล โดยองค์การยูเนสโก (Satun UNESCO Global Geopark) เป็นเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากฝั่งด้วย สามารถไปเที่ยวแบบวันเดย์ทริปได้เลย เกาะเขาใหญ่ เป็นเกาะหินปูนกลางทะเล เมื่อน้ำลดก็จะสามารถพายเรือแคนูลอดช่องหินเหมือนเข้าไปอีกโลกหนึ่ง พบกับความสวยงามของ “ปราสาทหินพันยอด” สิ่งอัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้น แท่งหินแหลมรูปร่างสวยงามแปลกตานับไม่ถ้วนที่จากการกัดเซาะหินของน้ำฝน คล้ายกับบนปราสาทในเทพนิยาย ชาวบ้านจึงเรียกกันว่าปราสาทหินพันยอด บริเวณดังกล่าวกว้างประมาณ 20-30 เมตร นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปต้องจำกัดการเข้าได้ครั้งละ 20 คนเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ธรณีวิทยา สำหรับเกาะเขาใหญ่ อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล โดยทำการท่องเที่ยวโดยชุมชน

 

6. ปีนผา ตามหาหัวใจ อ่าวฟอสซิล เกาะเขาใหญ่
นอกจากปราสาทหินพันยอดแล้ว ห่างไปไม่ไกลนัก ในบริเวณหมู่เกาะเขาใหญ่ ยังเป็นที่ตั้งของอ่าวฟอสซิล ซึ่งมีไฮไลท์คือการแชะภาพเก๋ๆ กับหัวใจ อยู่บนหน้าผา แต่กว่าจะได้รูปสวยๆก็ต้องใจกล้านิดนึง เพราะเส้นทางที่ต้องปีนผาไปนั้นหวาดเสียวเอาเรื่องอยู่ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ไม่ต้องกลัว เพราะทุกย่างก้าว จะมีพี่ๆนำเที่ยว ซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นนี่แหละ คอยแนะนำ ดูแลเราอย่างกับไข่ในหิน ส่วนใครที่ใจไม่ถึงก็ยังมีมุมดีๆ ที่สวยไม่แพ้กัน ให้ถ่ายรูปอีกเพียบ นอกจากนี้ภายในบริเวณนั้นยังสามารถชมหลักฐานสำคัญทางธรณีวิทยา อย่าง นอติลอยด์ หรือ ฟอสซิลปลาหมึกทะเลโบราณ ที่ปรากฏบนลานหินปูนขนาดใหญ่อีกด้วย

 

7.ช็อปผ้าบาติก – มัดย้อม สกัดสีจากดินท้องถิ่น ผ่านลวดลายฟอสซิลโบราณ ที่ปันหยาบาติก
กลุ่มปันหยาบาติก ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 2 บ้านปากละงู ต.ละงู อ.ละงู จ.สตูล จากยุคสมัยใหม่ ทำให้ความนิยมของผ้าบาติกลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ กลุ่มปันหยาบาติก ต้องสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครให้สามารถอยู่ได้ต่อไป จุดเด่นของผ้ามัดย้อมของที่นี่ คือ การใช้สีจากธรรมชาติ เช่น ดินหินปูนผุของชุมชนซึ่งจะให้สีส้มอมน้ำตาล สีจากกาบมะพร้าว สีจากใบไม้ต่างๆ อย่างใบหูกระจง ใบหูกวาง เป็นต้น ซึ่งให้สีธรรมชาติ ดูสบายตา ไม่ฉูดฉาด และสวยงามไม่แพ้สีสังเคราะห์ สวมใส่ด้วยความมั่นใจถึงความปล

admin Author